ปลูกสับปะรดในกระถางไว้ทานเองในบ้าน ด้วยจุกสับปะรด
การปลูกสับปะรดดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับคนที่ไม่ได้มีอาชีพทำไร่ทำสวนแต่เราก็สามารถปลูกสับปะรดเอาไว้รับประทานเองในบ้านได้เหมือนกัน ถึงจะมีเนื้อที่ในบ้านไม่พอให้ทำสวนก็ไม่เป็นไร เพราะเราจะมาเหนือเมฆด้วยการลองปลูกสับปะรดในกระถางแทน ดูแลรดน้ำพรวนดินภายในบ้าน
เพราะถึงแม้เราจะเคยเห็นไร่สับปะรดกลางแดดจ้ามาจนชินตา แต่ในความเป็นจริงแล้วสับปะรดก็เป็นผลไม้เขตเมืองร้อน เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราอยู่แล้ว ดังนั้นการปลูกสับปะรด ที่ไม่มีแดดจัดๆ ส่องถึงเท่าไร ก็ถือว่าไม่เป็นปัญหา เพียงแต่อาจจะต้องยอมรับข้อด้อยของการปลูกสับปะรดในร่มบ้าง เป็นต้นว่า ผลสับปะรดที่ได้อาจจะมีขนาดเล็กกว่าผลสับปะรดที่ขายอยู่ตามท้องตลาด แต่ถ้าเลือกสับปะรดพันธุ์ดีมาปลูก รสชาติก็ไม่น่าจะต่างกันมากนัก ถ้าอย่างนั้นเรารีบมองหาพันธุ์สับปะรดไปลองปลูกกันเลยจ้า
พันธุ์ของสับปะรด
สับปะรดที่ประเทศไทยนิยมปลูกจะมีอยู่ด้วยกัน 6 สายพันธุ์ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
1. สับปะรดพันธุ์สำหรับส่งโรงงาน ไปทำเป็นสัปปะรดกระป๋อง ซึ่งก็คือ สัปปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย
2. สับปะรดพันธุ์สำหรับบริโภค ได้แก่ พันธุ์นางแล, พันธุ์ภูเก็ต, พันธุ์ตราดสีทอง และพันธุ์สวี
วิธีปลูกสับปะรดในร่ม
1. คัดสับปะรด
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ หรือผลไม้ชนิดไหน หัวใจของการปลูกพืชให้ได้คุณภาพดี ต้องมาจากพันธุ์พืชที่ดีเช่นกัน ฉะนั้นเราก็ควรเลือกผลสับปะรดที่เนื้ออิ่มแน่น จุกสับปะรดต้องเป็นสีเขียว ไม่เหลือง และไม่มีใบสีน้ำตาล ส่วนผลสับปะรดก็ควรมีสีเหลืองทอง ไม่เขียว หรืออ่อนจัดจนเกินไป ที่สำคัญต้องตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่า จุกของสับปะรดไม่มีแมลงมากัดกิน โดยสังเกตได้จากจุดสีเทาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เกาะติดอยู่ตามใบ หากพบเจอแมลงกินพืชเหล่านี้ก็ต้องหาสับปะรดผลไม้มาเป็นพันธุ์แทน
นอกจากนี้ผลสับปะรดที่เลือกต้องเป็นผลที่กำลังดี ไม่สุก หรืออ่อนจนเกินไป
วิธีการตรวจสอบ เพียงแค่ลองดึงจุกสับปะรดบา ๆ หากจุกสับปะรดหลุดออกอย่างง่ายดาย ก็แสดงว่า สับปะรดลูกนั้นสุกเกินไป ไม่เหมาะที่จะนำมาเพาะเป็นพันธุ์แล้วล่ะค่ะ
*** คุณอาจไม่เชื่อว่า เจ้า จุกสับปะรด ที่เห็นที่ร้านหั่นทิ้งเป็นประจำ สามารถนำมาปลูกได้ ซึ่งมีวิธีการเลือกก็คือ จุกต้องไม่ช้ำ ไม่มีใบเหลือง และที่สำคัญ ควรเลือกพันธุ์ที่เราชอบรับประทาน
แนะนำ จากนี้ให้คุณใช้มือบิดจุกสับปะรดออกมา โดยหลีกเลี่ยงการใช้มีดตัดจุกสับปะรด เพราะความคมของมีดอาจจะทำให้คุณตัดสับปะรดเข้าถึงเนื้อ เป็นเหตุให้สับปะรดเน่าเสียทั้งลูกได้
2. เตรียมจุกสับปะรดสำหรับลงปลูก
เมื่อบิดจุกสับปะรดออกมาได้แล้ว คราวนี้ให้ใช้มีดค่อย ๆ เล็มโคนจุกสับปะรดให้มีลักษณะ เรียบเสมอกัน โดยในระหว่างที่ใช้มีปาดบาง ๆ ก็พยายามสังเกตด้วยว่า เราปาดถึงเนื้อเยื่อ และรากของสับปะรด (ปุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ ลักษณะคล้ายตาสับปะรด) แล้วหรือยัง ถ้าปาดจนเริ่มเห็นรากสับปะรดแล้ว ขั้นต่อไปให้ดึงกาบใบสับปะรด โดยเริ่มจากส่วนโคนจุกสับปะรดก่อน ดึงกาบใบออกไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3-4 ชั้น เป็นการเปิดทางให้รากงอกออกมาได้สะดวกขึ้น แต่ก่อนจะนำจุกสับปะรดปักลงกระถาง ควรตากจุกสับปะรดประมาณ 2-3 วัน โดยคว่ำยอดจุกลงสู่พื้นดิน เพื่อฆ่าเชื้อโรค และให้แสงแดดเลียรอยแผลจนแห้ง และรัดตัว ป้องกันจุกสับปะรดเน่าเสีย
3. เพาะพันธุ์ขยายราก
เมื่อเราได้จุกสับปะรด และทำการเปิดรากสับปะรดเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะนำจุกสับปะรดไปปลูก ต้องนำมาแช่น้ำเพื่อขยายรากสับปะรดก่อน โดยขั้นตอนนี้ให้ใช้โหลพลาสติก หรือแก้วขนาดใหญ่ ใส่น้ำสะอาด แล้วนำจุกสับปะรดไปปักแช่ไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ และระหว่างนั้นก็ต้อง เปลี่ยนน้ำทุกๆ 2-3 วัน เพื่อป้องกันเชื้อรา
ทั้งนี้ควรวางขวดโหลไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ คือ ไม่ร้อนจัด หรือเย็นจัดเกินไป หรืออาจจะวางขวดโหลไว้บนหลังตู้เย็นก็ได้ค่ะ ปกติแล้วจะใช้เวลาหลายวันหรือ 2-3 สัปดาห์กว่าที่รากสีขาวจะงอกออกมาและโตขึ้น
4. ปลูกลงกระถาง
*** เตือน !!! เมื่อรากงอกได้ 2-3 นิ้วจึงจะสามารถนำตะเกียงไปปลูกในดินได้ คุณต้องรอให้รากมีความยาวที่เหมาะสมจริงๆ เพราะหากนำไปปลูกเร็วเกินไปจะไม่ได้ผลดี กดดินรอบๆ โคนตะเกียงให้แน่นดีและต้องระวังไม่ให้มีดินอยู่บนใบเลย
หลังจากเพาะจนรากสับปะรดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ให้คุณเตรียมกระถางสำหรับปลูกสับปะรดได้เลย โดยเลือกกระถางปลูกต้นไม้ความสูงประมาณ 8 นิ้ว และมีรูระบายน้ำมากพอสมควร จากนั้นรองก้นกระถางด้วยหิน เทให้หนาประมาณ 2 นิ้ว ตามด้วยลงดินร่วนซุยผสมปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 50 ต่อ 50 เสร็จแล้วให้ปักจุกสับปะรดลงไป กลบดินให้แน่น
ทั้งนี้ในระยะแรกให้คุณหมั่นรดน้ำต้นสับปะรดพอประมาณ รักษาระดับความชื้นของดินให้สมดุล ไม่เปียกจัด และไม่แห้งระแหงจนเกินไป ที่สำคัญในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก จะเป็นช่วงที่รากสับปะรดกำลังเติบโต และสร้างความแข็งแรงให้ตัวเอง
ดังนั้นทางที่ดีอย่าเพิ่งใส่ปุ๋ย หรือรบกวนต้นสับปะรดนะคะ และหลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน รากของต้นสับปะรดจะเริ่มแข็งแรง พร้อมจะงอกหน่อ ซึ่งหากอยากตรวจสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของราก ก็ทำได้โดยลองดึงจุกสับปะรดเบา ๆ หากต้นสับปะรดยึดเกาะกับดินในกระถางอย่างเหนียวแน่น ก็หมายความว่ารากมีความแข็งแรงมากพอแล้ว และในระยะนี้คุณจะเริ่มเห็นต้นสับปะรดงอกรากใหม่แล้วล่ะค่ะ
แต่ในกรณีที่รากสับปะรดยังอ่อนแอ หรือมีปัญหาเกิดขึ้น คุณจะสามารถดึงจุกสับปะรดออกมาจากกระถางได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อเจอแบบนี้ก็คงต้องตรวจ สอบความผิดปกติกันหน่อย ง่าย ๆ ก็แค่สำรวจดูราก ว่าเน่า หรือมีเชื้อรารบกวนหรือไม่ และถ้าเจอปัญหาเหล่านี้ ก็คงต้องเริ่มกระบวนการเพาะจุกสับปะรดกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยล่ะ แต่คราวนี้อย่าเผลอมือหนักรดน้ำจนชุ่มแฉะเกินไปนะคะ
5. เฝ้าดูการเจริญเติบโต
การปลูกสับปะรดต้องอย่าใจร้อน เพราะกว่าสับปะรดจะโตพอจะแตกหน่อข้างได้ก็ใช้เวลาร่วมปีกว่า ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นคุณก็อาจจะเจอปัญหาใบตรงกลางจุกงอกขึ้นใหม่ ในขณะที่ใบข้าง ๆ ที่เป็นใบเดิมที่ติดมากับจุกกลับกลายเป็นใบสีเหลือง หรือเน่าไปก็มี แต่ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการลิดใบเหลืองทิ้ง และจำกัดปริมาณการรดน้ำสับปะรดเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้นก็พอ
6. เปลี่ยนกระถางเมื่อถึงเวลา
ทันทีที่สังเกตเห็นว่า ต้นสับปะรดเจริญเติบโตดีวันดีคืน จนเริ่มจะใหญ่โตคับกระถาง ก็สมควรแก่เวลาต้องหากระถางขนาดใหญ่กว่าเดิมมาเปลี่ยนที่อยู่ให้เขาแล้วล่ะค่ะ โดยการเปลี่ยนกระถางแต่ละครั้ง ก็ควรถือโอกาสเปลี่ยนดินไปด้วยเลย ซึ่งครั้งนี้คุณอาจจะเพิ่มปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยบำรุงผลเข้าไปอีกก็ได้ แต่ที่สำคัญคือต้องเหลือช่องว่างก้นกระถาง ให้น้ำระบายออกไปได้อย่างสะดวก หมดปัญหาดินชื้นแฉะจนรากเน่าเสียอีกต่อไป ทั้งนี้คุณอาจจะใช้เทคนิควางก้อนอิฐ หรือก้อนหินไว้ที่ก้นกระถาง เหมือนอย่างตอนปลูกสับปะรดกระถางที่แล้วก็ได้ แล้วอย่าลืมกดหน้าดินให้แน่นสักหน่อย รากจะได้อยู่ภายใต้ดินอย่างมั่นคง
การดูแลทั่วไป
1. แสงแดด และอุณหภูมิที่เหมาะสม
เนื่องจากสับปะรดเป็นพืชเขตร้อน เราจึงต้องวางกระถางต้นสับปะรดไว้ในมุมที่แดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และควรรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ประมาณ 24-30 องศาเซลเซียส หรือถ้าวันไหนที่แดดดี จะนำกระถางต้นสับปะรดไปตากแดดจัด ๆ ก็จะดีมาก เพราะช่วยเสริมให้สับปะรดเติบโตอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น อีกทั้งยังเสริมภูมิคุ้มกันโรคพืช และศัตรูพืชได้ด้วย
2. การรดน้ำ
สับปะรดเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก ยิ่งปลูกในร่มก็ควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้งก็พอ และการรดน้ำแต่ละครั้ง ก็ควรให้น้ำในปริมาณที่พอดี ไม่ทำให้ดินอมน้ำมากจนแฉะเกินไป แต่ก็ไม่ควรลดน้ำน้อยจนดินขาดความชุ่มชื้น
3. การให้ปุ๋ย
เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีของต้นสับปะรด เราควรให้ปุ๋ยฟอสฟอรัส โพรแทสเซียม และไนโตรเจนอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง โดยให้ปุ๋ยในปริมาณเล็กน้อยก็พอ ซึ่งจะเลือกให้ปุ๋ยทางกาบใบ ด้วยการโรยปุ๋ยบริเวณกาบใบล่างของต้น หรือให้ปุ๋ยชนิดเหลว ด้วยการฉีดพ่นกาบใบ หรือราดบนหน้าดินรอบ ๆ ก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องระวังอย่าใส่ปุ๋ยที่โคนต้นโดยตรง เพราะอาจจะทำให้รากเกิดความเสียหายได้
4. โรคพืช และศัตรูพืช
ศัตรูพืชที่มักจะมาก่อกวนต้นสับปะรด คือ ไร เชื้อรา และอาการตกสะเก็ด ซึ่งสามารถจำได้โดยการล้างกาบใบด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ ส่วนโรคพืชที่พบบ่อยจะเป็นโรครากเน่า รากเกิดเชื้อรา สังเกตได้ง่าย ๆ จากการที่กาบใบตรงกลางเป็นสีน้ำตาลคล้ำออกดำ และเวลาที่ดึงจุกสับปะรด รากก็จะหลุดออกมาได้โดยง่าย ซึ่งสาเหตุของโรคพืชเหล่านี้ก็มาจากการรดน้ำมากเกินไป รวมทั้งการใส่ปุ๋ยตรงกลางลำต้น ทำลายเนื้อเยื่อของรากให้เน่าตายนั่นเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องระมัดระวังการรดน้ำ และให้ปุ๋ยต้นสับปะรดให้มาก (เนื้อหาเพิ่มเติมจาก: http://home.kapook.com/view86809.html)
แม้ว่าการปลูกสับปะรดเพื่อกินผลจะต้องรอนานนับปี แต่เราเชื่อว่า หากใครได้กินสับปะรดที่ตัวเองปลูกและดูแลมาตลอด จะต้องกินสับปะรดผลนั้นได้อร่อยกว่าครั้งไหนๆ แน่นอน